ความกลัว VS ความจริง



โดย
I’m PLUS 


เกริ่นนำ
 Yesterday today and tomorrow

สวัสดีครับชาวอดัมส์เลิฟ นี่คงเป็นการเล่าเรื่องราวชีวิตของผมเป็นครั้งแรกใน อดัมส์เลิฟ และเป็นการเล่าเรื่องราวส่วนตัว ของผมต่อที่สาธารณะเป็นครั้งแรกเช่นกัน

ผมขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ต่อจากนี้ไปขอให้ทุกคนรู้จักผมในชื่อ I’m PLUS ที่ผมอยากให้ทุกคน รู้จักผมในชื่อนี้เพราะผมมีบางสิ่งที่เพิ่มมากขึ้น และเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้มันเพิ่มขึ้นในตัวของ เรา และผมหมายถึง HIV ที่ผมได้รับมา มันพลัส ขึ้นไหมละครับ???

เกือบสองปีแล้วละครับที่ผมรับรู้ว่า ผมมีน้องฮิฟ (HIV) อยู่ในตัว วันแรกที่ผมรู้ว่าตัวเองมีความพิเศษ แบบนี้ ผมนิ่งและชาอย่างที่ทำอะไรไม่ถูก เดินออกจากโรงพยาบาลรีบขึ้นรถและกดโทรศัพท์ หาเพื่อนคนที่ผมไว้ใจและพร้อมที่จะรับฟังสิ่งที่ผมได้รับรู้มา น้ำตาผมไหลอย่างไม่หยุด ผมคิดเพียง แค่ว่าผมจะอยู่ต่อไปอย่างไร ผมจะบอกที่บ้านยังไง ผมเป็นเหมือนความหวังของครอบครัว ผมจะทำอย่างไรต่อไป สิ่งหนึ่งที่เพื่อนผมตอบกลับมาคือ “ไม่ใช่แกคนเดียวที่เป็น” ผมมีสติกลับมา ด้วยคำพูดคำนี้ ผมต้องอยู่ต่อไป ผมกลับไปนั่งตั้งสติที่บ้าน หาข้อมูลเท่าที่ผมจะเติมความรู้ ให้ตัวเองเกี่ยวกับโรคนี้ให้ได้มากที่สุดภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง ผมเข้าใจมันอย่างถ่องแท้เลยว่า ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรกับสิ่งที่ผมมี และไม่ใช่วันพรุ่งนี้เสียเมื่อไหร่ที่ผมจะตาย และไม่ใช่วันนี้ที่ผม จะต้องทนทุกข์ ครอบครัวไม่จำเป็นต้องรับรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ผมจะทำทุกอย่างให้เป็นปกติ เหมือนทุกๆวันที่ผ่านมา เพียงแต่บอกตัวเองว่า เธอมีความพิเศษที่ต้องระวังมากขึ้นก็เท่านั้น

ผมไม่เคยย้อนกลับไปโทษตัวเองและต่อว่าตัวเองเลยกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ผมจะได้ ความพิเศษนี้มาอย่างไรก็ช่างหัวมัน ผมไม่สนใจว่าใครจะให้สิ่งนี้กับผม แต่ผมจะต้องมีชีวิต ต่อไปในทุกๆวันให้ได้ นั่นคือสิ่งที่ผมเตือนตัวเองเสมอๆ และทำให้ผมผ่านพ้นช่วงเวลาที่ทุกข์ทน นั้นมาได้ในไม่กี่ชั่วโมง ผมกลับมารักตัวเองมากขึ้นหลังจากที่ ใช้ชีวิตอย่างเกินคุ้มมาช่วงหนึ่ง ผมเลิกดื่มสุรา เลิกดื่มน้ำอัดลม ออกกำลังกายมากขึ้น ผมไปหาหมอตามที่นัดทุกๆครั้ง ทานยาต้าน ตรงเวลา แม้จะแอบมีเลยเวลาบ้างบางที่ บางครั้งผมกลับขอบคุณน้องฮิฟเสียด้วยซ้ำไป ที่ทำให้ ผมรู้จักที่จะรักตัวเองให้มากขึ้นและรู้จักคุณค่าของชีวิตและลมหายใจที่ยังเหลืออยู่

ทุกวันนี้ผมไม่ทุกข์กับสิ่งที่ผมเป็นเลย แม้จะเกิดความรู้สึกกังวลอะไรในใจลึกๆ อยู่บ้าง แต่ความจริง คือพรุ่งนี้ยังมาไม่ถึง จะกลัวไปเพื่อให้เราทุกข์ในวันนี้ไปทำไม และจะจมอยู่กับอดีตที่กลับไปแก้ไข ไม่ได้เพื่ออะไรกัน

เรายังมีความสุขได้ ถ้าเราเลือกที่จะอยู่กับความสุข ไม่ว่าจะเป็น เมื่อวาน วันนี้ หรือ พรุ่งนี้



ความรักและความสัมพันธ์
"ความกลัว VS ความจริง"


ความกลัว vs ความจริง ผมว่าความกลัวเป็นความรู้สึกสามัญพื้นฐานที่ใครหลายๆ คนมีอยู่ในจิตใจ โดยเฉพาะความกลัว ในความจริง แต่สองสิ่งนี้ต้องสู้รบกัน เพื่อแย้งพื้นที่ภายในจิตใจให้คงอยู่ต่อไปให้ได้

เรื่องราวต่อจากนี้เป็นการเอาชนะซึ่งกันและกันระหว่างความกลัวต่อสิ่งๆ หนึ่ง จากการรับรู้ความจริงๆในสิ่งนั้น แน่นอนต้องมีบางสิ่งดำรงอยู่ต่อไปและบางสิ่งสูญสลายไป

หลังจากที่เราสองคนตกลงคบกันในฐานะแฟนที่คบกันอย่างจริงจัง ตลอด 4 เดือนเต็มที่ผ่านมา มันคือความสุขในความรัก ของคนสองคนที่มีทุกช่วงเวลาให้แก่กันและกัน ความบังเอิญของการได้ พบกันของเราสองคน นำมาซึ่งความจริงจังในความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ทว่าท่ามกลาง ความสุขทั้งหลายนั้น มันกลับมีความจริงบางอย่างถูกฝั่งกลบอยู่ภายในจิตใจของผมที่ตอกย้ำถึง ความผิดพลาดในอดีตที่ไม่อาจหวนกลับไปแก้ไขได้อีกต่อไปนอกจากจะต้องเดินหน้าต่อไปให้ได้ใน วันต่อไป และเก็บความลับนี้ไว้ในใจเพียงผู้เดียว

ถ้าเป็นคุณจะเลือกอะไรระหว่าง ความจริงที่ควรพูดกับความจริงที่ควรเก็บ มันยากมากใน สถานการณ์นี้ แต่ผมเลือกที่จะเปิดเผยความจริง เพียงด้วยความหวังเล็กๆ ว่า เค้าจะยอมรับในสิ่งที่ ผมมีและในสิ่งที่ผมเป็น ผมตัดสินใจบอกแฟนผมว่า ผมมีเลือดบวก นั่นหมายถึง ผมมีเชื้อ HIV ในตัวของผม ความเงียบเข้าครอบงำเราสองในค่ำคืนหนึ่ง เค้าร้องไห้และความวิตกกังวลทั้งหลาย ได้โถมเข้าไปอยู่ในภวังค์แห่งความคิดของแฟนผม คำถามเกิดขึ้นมากมาย ที่ผ่านมาเค้าจะได้ รับเชื้อไหม เค้าจะมีชีวิตอย่างไรถ้าได้รับเชื้อ ความทรุดลงไปร้องไห้กับพื้น ในขณะที่ผมเข้าไป โอบกอดเค้าไว้ ผมพยายามเรียกสติของเค้าให้กลับคืน เค้าตัวสั้นและพร่ำเพ้อเหมือนคนเสียสติ พูดวนเวียนอยู่คำๆ เดิมว่า “เค้าจะต้องไม่ติด เค้าจะต้องไม่ตายด้วยโรคนี้” จนผมอ่อนล้า แต่ต้องเข้มแข็งเพื่ออยู่ข้างๆ เค้าตลอดคืน

รุ่งเช้า เค้าแทบไม่มีเรียวแรงใดๆ ในการจะไปทำงาน แต่ต้องฝืนพาร่างกายออกไปทำหน้าที่ ในใจผมเป็นห่วงและกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเค้า ทั้งหมดเป็นความผิดผมเอง ทั้งๆ ที่รู้แต่ยังเดิน เข้ามาในชีวิตของคนๆ หนึ่งให้ตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ผมผิดเองทั้งนั้น

เค้าตัดสินใจที่จะไปตรวจเลือดเพื่อให้แน่นอนใจในผลที่จะเกิดขึ้น แต่ผมพยายามบอกเค้าเสมอว่า ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ผมจะอยู่ข้างๆ เค้าเสมอ “คุณต้องเข้มแข็งและเตรียมใจให้พร้อมกับ ความจริงที่จะเกิดขึ้น” เค้าใจจดใจจ่อกับผลการตรวจเลือดและความโชคดียังเข้าข้างตัวเค้า ผลเลือดเป็นลบ นั่นหมายถึง เค้าปลอดภัย ผมโล่งอกกับผลที่ออกมา แต่ความสัมพันธ์ของเรา กำลังจะจบลง

เค้าพยายามปรับตัวกับความจริงที่ได้รับรู้มา และพยายามทำใจให้ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ จะว่าเค้าพยายามฝืนและหลอกตัวเองให้ความสัมพันธ์ของเราสองคนกลับไปเป็นอย่างเดิมใช่ไหม คงตอบว่าใช่ สุดท้ายเราหันหน้ามาพูดกันด้วยความจริง เค้าได้พยายามแล้วแต่เค้าคงอยู่ไม่ได้กับ สภาวะแบบนี้ เราสองคนลดระดับลงมาเหลือเพียงความเป็นเพื่อน แต่แล้วสุดท้ายเราถูกตัดขาด ออกจากกันในทุกๆ ทาง เค้าเลือกที่จะลบอดีตเกี่ยวกับตัวผมทั้งหมด โดยเลือกที่จะไม่รู้จักกันอีกเลย ไม่แม้แต่เพียงความเป็นเพื่อน ผมไม่โกรธอะไรเค้าเลย และเข้าใจในการตัดสินใจของเค้าเสียด้วยซ้ำ ผมเลือกอะไรได้ นอกจากยอมรับความจริง ว่าจะมีสักกี่คนที่จะยอมรับในสิ่งที่เราเป็นได้ ซึ่งอาจไม่มีเลย เหมือนความฝันอันเลือนลาง

ความรักของเราจบลงที่ตรงนั้น ผมยังคงอยู่กับความกลัวในความจริงที่ผมเป็นต่อไป และสำหรับเค้า จนป่านนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าชีวิตเค้าจะดำเนินต่อไปอย่างไร หวังเพียงว่า เค้าจะยังคงมีความสุข และยังมีรอยยิ้ม เท่านั้นผมก็เป็นสุขใจ แด่ความรักที่สวยงาม

I'm PLUS