Life goes on

โดย HIV Version 3.

ผมเป็นคนหนึ่งซึ่งมีเชื้อ HIV และได้มีโอกาสรู้จักกับผู้ที่เป็นเช่นเดียวกันทั้งแบบรู้จัก สนิท หรือไม่รู้จัก และไม่สนิท เช่นกัน สิ่งที่ผมกำลังจะพูดต่อไปนี้ ขอข้ามขั้นตอนหรือสาเหตุที่มายืนอยู่จุดนี้ไปก่อน โดยขอพูดถึงบทสรุปชีวิตของผู้ที่ได้รับเชื้อแล้วหาทางออกด้วยการจบชีวิตตนเองจากคนใกล้ตัวที่มีโอกาสได้พบเจอมา เนื่องจากผมเชื่อว่าสำหรับผู้ที่ได้ทราบว่าตัวเองได้รับเชื้ออย่างไม่ทันตั้งตัว อาจมีใครหลายๆ คนที่คิดจบปัญหาด้วยการจบชีวิตตัวเองเพื่อหนีสิ่งนี้

ในช่วงปีแรกที่ผมได้รับรู้ว่าตัวเองเป็นอะไรนั้น และยังคงใช้เวลาเรียนรู้อยู่กับมันซึ่งเป็นสิ่งใหม่ในชีวิต ไม่ง่ายเลยกับมือสมัครเล่นที่ต้องเรียนรู้ด้วยตนเองทุกอย่าง ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลาได้เพียงประมาณ 6 เดือนหลังตรวจพบ แต่สิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นต่อหน้าผม ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งจะว่าไปแล้วแทบจะไม่เคยคุยกันแม้แต่คำเดียว แต่อยู่ละแวกบ้านเดียวกัน เรียนโรงเรียนเดียวกันมาเป็นเวลานาน แต่สาเหตุที่ไม่ได้เป็นเพื่อนกันเนื่องจากในสมัยผมนั้น เกย์ กับ ผู้ชาย มันแยกกลุ่มกันอย่างสิ้นเชิง ได้กลับมายังละแวกบ้านอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปอยู่ที่อื่น แต่จะกลับมาเยี่ยมบ้านเค้าสักนานๆ ที โดยครั้งนี้เค้ากลับมาในสภาพที่ผิดไปจากครั้งสุดท้ายที่ผมได้เห็นประมาณเกือบปี เดิมเป็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำ สูง ล่ำ ผิวขาว แต่ครั้งนี้สภาพเค้าเบื้องหน้าที่ผมเห็นโดยบังเอิญ คือคนที่รูปร่างผอมแห้ง เหลือแต่กระดูก หน้าตอบ ผิวคล้ำ ผิดกันเป็นคนละคน

เค้าเดินลงมาจากรถพร้อมลากกระเป๋าเดินทาง ท่ามกลางคนละแวกบ้านที่จ้องมองไปที่เค้ารวมถึงตัวผมเองที่ยืนมองอยู่ห่างๆ เนื่องจากเค้าเป็นคนที่เป็นที่รู้จักของคนในละแวกบ้าน ปรกติทุกครั้งที่เค้ากลับมาทุกคนจะพูดคุย ทักทายกับเค้าเสมอ แต่ผิดกับครั้งนี้ที่เค้ากลับมา ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นเพ่งมองไปที่เค้าแล้วเงียบ ไร้ซึ่งเสียงทักทายเหมือนเช่นเคย ในขณะที่เค้าเองก็ได้แต่เดินก้มหน้าลากกระเป๋าโดยปราศจากการทักทายใครๆ เหมือนเคยเช่นกัน

ผมยังยืนอยู่ที่เดิมเนื่องจากเผอิญซื้อของอยู่ตรงนั้นจนเค้าลากกระเป๋ามาหยุดอยู่ตรงหน้า แต่เราไม่ได้ทักกัน ซึ่งสำหรับเรามันไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเราสองคนไม่เคยคุยกันเลยแม้แต่คำเดียว แต่จากสิ่งที่ผมเห็นอย่างใกล้ๆ จนชัดเจนผมเดาว่า เค้าคงจะได้รับเชื้อเช่นเดียวกับผม เพียงแต่มันจริงหรือแค่ผมคิดผิดไปเอง

จากวันนั้นสิ่งที่จะทำให้ผมได้รู้ก็ไม่ยาก เพียงแต่ทุกครั้งที่ไปซื้อของละแวกบ้านแล้วคอยเงี่ยหูฟังขาเม้าท์ ก็จะทราบข่าวในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรื่องในละแวกบ้านได้อย่างดี ซึ่งเรื่องหนึ่งในนั้นก็คือชายคนที่ผมสงสัยนั้นได้รับเชื้อจริงอย่างที่คิด แล้วสิ่งที่ผมกลัวก็ได้เห็นกับสายตาตัวเอง นั่นคือปฎิกิริยาของคนละแวกบ้านนั้นเปลี่ยนไปจากเดิม ไม่ต้อนรับ พูดคุยเหมือนก่อนที่เค้าเคยปกติ มันตอกย้ำในสิ่งที่ผมคิดมาตลอดว่า หากวันนึงได้มีคนรู้ว่าผมเป็นอะไร คงจะมีผมกระทบเช่นนี้ เพียงแต่มันไม่ได้เกิดขึ้นกับผมเท่านั้นเองตราบใดที่ผมยังเก็บมันไว้เป็นความลับได้อยู่

เมื่อเกิดปฎิกิริยาจากสังคมรอบข้างที่ดูไม่เป็นมิตร หรือเป็นที่ต้อนรับของสังคม ผู้ชายคนนั้นได้แต่เก็บตัวเงียบๆ อยู่ในบ้าน ปิดประตู ปิดหน้าต่าง และไม่ออกมาจากห้องอีกเลย สิ่งที่ผมได้แต่คิดในขณะที่ยังมือใหม่อยู่นั้นไม่รู้จะเริ่มต้นช่วยเพื่อนร่วมชะตากรรมได้อย่างไร ไม่รู้จะเริ่มเข้าไปคุยได้ไงเพื่อให้เค้ามีกำลังใจ ในเมื่อคนไม่เคยคุยกันมาก่อน และกลัวสังคมรอบข้างจะมองอย่างสงสัยหากผมเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย ซึ่งจะทำให้ปัญหาเกิดขึ้นกับตัวผมเองตามมาด้วย ผมได้แต่คอยชะเง้อเวลาเดินผ่านหน้าบ้านเค้า โดยหวังว่าจะได้เห็นเค้าในสภาพที่มีสุขภาพดีขึ้นกว่าเดิมในทุกๆ วัน แต่ผมก็ต้องผิดหวังเนื่องจากประตู หน้าต่างบ้านนั้นไม่เคยเปิดอีกเลย

ผ่านมาได้ประมาณ 3 เดือนในขณะที่ผมกำลังซื้อของอยู่ละแวกบ้านเช่นเดิม เสียงพูดคุยเข้าหูก็ทำให้ผมตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน มันเป็นการพูดคุยถึงการสวดอภิธรรมศพของชายคนนั้นที่คนละแวกบ้านกำลังสนทนากันอยู่ แต่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจมากที่สุดคือ เค้าเลือกที่จะจบชีวิตตนเองด้วยการหยุดลมหายใจตนเอง โดยผมจะไม่ขอพูดถึงวิธีที่เค้าได้เลือกใช้

สิ่งที่ผมได้รู้สึกหลังจากได้ทราบข่าวคือความผิดหวัง ซึ่งผมเชื่อว่าผู้ชายแท้ๆ อย่างเค้าน่าจะมีกำลังใจที่เข้มแข็งกว่าผม แต่กว่าสิ่งนั้นคือผมรู้สึกเห็นแก่ตัว ไร้น้ำใจ และขี้ขลาดที่จะเดินหรือยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเค้า อย่างน้อยก็ในเรื่องของกำลังใจ และข้อมูลที่จะทำให้เค้าได้มีสุขภาพและชีวิตที่ดำรงอยู่ได้ไปด้วยกัน ทุกครั้งที่คิดเรื่องนี้ผมยังอดโทษตัวเองไม่ได้ถึงสิ่งที่ไม่ได้ทำลงไป มันคือสิ่งที่ผิดพลาดไปและไม่สามารถแก้ไขได้อีก

เมื่อครั้งแรกเคยเกิดขึ้นใกล้ตัวผมมาแล้ว ผมเองก็ไม่คิดว่ามันจะมีครั้งที่สองเกิดขึ้นใกล้ตัวอีก เมื่อเพื่อนที่รู้จักและสนิทกันพอสมควรมีแฟนซึ่งเป็นเกย์ด้วยกันทั้งคู่ แต่เพื่อนได้โทรมาปรึกษาถึงอาการแฟนตนเองซึ่งในหลายๆ อาการบ่งบอกว่าเป็นผู้ได้รับเชื้อเช่นกัน โดยการสันนิษฐานของเราสองคนค่อนข้างมั่นใจ ผมได้แต่ให้กำลังใจและคำปรึกษาผ่านเพื่อนไป เนื่องจากโดยส่วนตัวไม่รู้จักกับแฟนของเพื่อน แต่ปัญหาหนักสุดของรายนี้คือ แฟนเพื่อนมีโรคและอาการแทรกซ้อนมาก เพื่อนผมพยายามให้กำลังใจและบอกให้ไปตรวจเลือดเพื่อหาสาเหตุและทำการรักษา แต่ดูเหมือนว่าแฟนเพื่อนจะมีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่มากอันเนื่องมากจากโรคแทรกซ้อนหลายๆ โรคที่รุมเร้าเข้ามาในขณะนั้น

ในเมื่อสภาพจิตใจกลัวเกินไปที่จะรับความจริงหากเป็นอย่างที่คิด เพื่อนผมตัดสินใจไม่กดดันแต่ให้กำลังใจในทุกๆ ด้านว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือไม่ว่าจะเป็นอะไรก็จะไม่ทอดทิ้งและดูแลกัน โดยสิ่งที่ได้ทำในการแก้ปัญหานี้ก็คือการพาไปรักษาในเฉพาะโรคที่เกิดขึ้นก่อนเพื่อให้อาการบรรเทาและดีขึ้น และหากมีอาการของโรคแทรกซ้อนไหนที่เผอิญผมได้รู้จักกับเพื่อนคนอื่นที่ได้รับเชื้อและเคยเป็นแล้วทำการรักษาหายมาแล้ว ผมจะทำหน้าที่ประสานงานให้เพื่อให้เค้าได้รับคำแนะนำในเรื่องการรักษาที่ถูกต้องได้และทันท่วงที แต่ปัญหากลับอยู่ที่การรักษา

เนื่องจากเมื่อไปพบแพทย์แล้ว ยากที่จะปฎิเสธถึงการตรวจหาสาเหตุเพื่อหาข้อเท็จจริง อีกทั้งการได้รับการปฎิบัติจากแพทย์(บางราย)ไร้ซึ่งจรรยาบรรณ และไม่ได้ให้ซึ่งกำลังใจแก่ผู้ป่วยที่มีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่อยู่แล้ว แฟนเพื่อนผมตัดสินใจไม่รอฟังผลทั้งๆ ที่ได้ทำการเจาะเลือดตรวจแล้ว และกลับบ้านไปทันที นี่คือจากคำบอกเล่าของเพื่อนผมเอง

หลังจากได้รับฟังเรื่องดังกล่าวในวันนั้นไม่เกิน 1 สัปดาห์ถัดมา สิ่งที่ผมต้องตกใจคือภาพและ status ของเพื่อนผมบน Facebook ที่กล่าวถึงการจากไปของแฟนเค้า หากแต่ว่ามันไม่ใช่ด้วยสาเหตุของโรคแทรกซ้อนที่เป็น แต่เป็นการตัดสินใจจบชีวิตตนเองจากที่สูง ซึ่งผมไม่ขอลงรายละเอียดเช่นกัน

สิ่งที่ผมอยากจะบอกผู้ที่ได้รับเชื้อก็คือ แม้ว่าสุขภาพคุณเองจะไม่เต็มร้อย แต่คุณภาพชีวิตของความเป็นมนุษย์คุณเองยังเต็มร้อยไม่ได้ลดน้อยลงไปจากเดิมเลย คุณยังคนที่มีคุณค่าอย่างน้อยก็ในสายตาของคนที่ห่วงใยและรักคุณ ก้าวแรกของชีวิตใหม่ที่เปลี่ยนไปแม้มันจะไม่เหมือนเดิม อาจล้มลุกคลุกคลานบ้าง แต่ขอแค่เพียงคุณคิดที่จะยืนหยัดต่อไปด้วยการให้กำลังใจตัวเองเป็นที่ตั้งก่อนแล้วค่อยๆ สู้กับมันไปโดยอาศัยความอดทน คุณก็จะสามารถยืนขึ้นและเดินได้ใหม่อีกต่อไป แต่การที่คุณคิดจะจบชิวิตตนเองเพื่อหลีกหนีปัญหานั้น แม้คุณจะหมดลมหายใจ แต่คนข้างหลังที่ยังหายใจอยู่ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวคุณ หรือคนที่รักคุณกลับเหมือนคนที่ตายทั้งเป็น จากสิ่งที่คุณได้ทิ้งไว้ภายใจจิตใจของพวกเค้า

ผมเชื่อว่าหากคุณจะใช้เวลาศึกษาและเข้าใจมันอย่างที่ผมเป็น HIVมันเป็นสิ่งที่เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันได้ แม้รักษาไม่หายขาดในตอนนี้ แต่เราก็ยังมีชีวิตและสุขภาพทีดีได้อีกนานตราบเท่าที่เราได้เรียนรู้วิธีที่จะดูแลไปอีกนาน อย่างที่ผมได้เจอและได้เห็นจากเพื่อนร่วมชะตาที่ได้อยู่มาเป็นสิบกว่าปีครับ