เรื่องราวการกดเชื้อไวรัสเอชไอวีของผม: Mr. Combat


เรื่องราวการกดเชื้อไวรัสเอชไอวีของผม หรือ My Undetectable Story  (#MyUStory) คือ โครงการเพื่อนช่วยเพื่อน ด้วยการใช้เทคโนโลยี เพื่อชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายที่มีเชื้อเอชไอวี จัดทำโดย อดัมส์เลิฟ มูลนิธิอดัมส์เลิฟโกลบอล เพื่อประชากรกลุ่มเสี่ยงและได้รับผลกระทบจากเชื้อเอชไอวี (อัลโก้)

โครงการนี้ นำเสนอเรื่องราวจริงของอาสาสมัครที่มีเชื้อเอชไอวีในโครงการอดัมส์เลิฟ วีแคร์ ถ่ายทอดเรื่องราว และความสำเร็จในการกดเชื้อเอชไอวี เพื่อส่งต่อความรู้ กำลังใจ ให้เพื่อนๆ ที่เพิ่งตรวจพบเชื้อเอชไอวี มีความเข้าใจ สามารถมีชีวิตที่แข็งแรง และมีจิตใจที่เข้มแข็งในการดำเนินชีวิต ตลอดจนสามารถกดไวรัสเอชไอวีได้สำเร็จ  สอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการอดัมส์เลิฟ วีแคร์ได้ที่ ไลน์ไอดีอดัมส์เลิฟ @xto5254h


My Undetectable Story

ตัวผมตอนนั้นอายุแค่ 18 ปี รักสนุกเที่ยวเล่นไปที่ต่างๆ บ่อยๆ แต่ผมมารู้ว่าผมมีเชื้อ HIV ตอนมีอะไรกับคู่นอนผ่านแอพพลิเคชันตัวหนึ่ง ตอนนั้นคู่นอนของผมถุงแตก ผมรู้เข้าเลยเครียดมาก ผมเลยโทรหาเพื่อนที่สนิทเพราะเพื่อนก็เจอเหตุการณ์นี้เหมือนกัน เพื่อนก็แนะนำว่าให้ลองถามโรงพยาบาลกับ Adam’s Love ในไลน์ดู ผมเลยมาถามแล้วเขาก็แนะนำโรงพยาบาลที่มีคลีนิคนิรนามก็รอจนถึง 6 โมงเช้า ไปโรงพยาบาลแล้วก็ขอบัตรคิว พี่พยาบาลก็ซักถามแล้วให้เราเจาะเลือดตรวจดู แล้วเขาก็พาเราไปหา ดร. เพื่อให้มาปรึกษาเกี่ยวกับการตรวจ
แล้วก็เรื่องโรคการติดต่อเพื่อป้องกันแนะนำยาต้านไวรัสฉุกเฉิน

พอผมรอถึงบ่ายสองโมงเขาก็นำผลเลือดมาให้พี่พยาบาล แล้วพี่เขาก็พาไปห้องๆ หนึ่ง พี่เขาก็เรียก ดร. คนที่ให้คำปรึกษาคนนั้นมา ตอนนั้นผมเริ่มกลัวว่าเกิดอะไรขึ้น ดร.คนนั้นก็ยิ้มให้กำลังใจ แล้วเขาก็ให้ผมผ่อนคลาย เขาก็เริ่มพูดว่าก่อนหน้านี้สองเดือนผมมีอะไรกับใครไหม ผมก็ตอบว่ามี แล้วเขาถามว่าป้องกันไหม ผมก็ตอบตามจริงว่าป้องกัน ดร. คนนั้นเขาก็ทำหน้าไม่เชื่อ แล้วเขาบอกว่าผมมีเชื้อ HIV ตอนนั้นผมตกใจมากสตั๊นไปเลย ตอนนั้นเริ่มจะร้องไห้ ดร. เขาก็เอาทิชชู่มาให้ ทีนี้ร้องไห้ใหญ่เลย คือทำไรไม่ถูกคิดว่า พ่อแม่รู้จะเป็นยังไง คนรอบข้าง แล้วตอนไปเรียนมหาลัยจะเป็นยังไง ผมกำลังขึ้นปี 1 ผมทำไรไม่ถูกจริง ๆ ดร.เขาก็ให้ผมทำใจ มันไม่มีอะไรน่ากลัว เขาบอกว่ามีทางรักษาแต่ไม่หายขาด แค่กินยาตลอด ดูแลสุขภาพ แค่นี้ก็เหมือนคนปกติ ตอนนั้นผมก็ฟังพยายามเข้าใจ แล้วเขาก็ถามว่าตอนนั้นสองเดือนก่อน ไปมีอะไรป้องกันจริงใช่ไหม ผมก็ยืนยันเขาก็ถามว่าถุงยางอาจหมดอายุหรือไม่ก็รั่วไหลก็ได้ ผมก็ร้องไห้เงียบๆ ดร. ก็อธิบายต่อว่าดีนะที่รู้ผลเขาบอกว่าจะรักษาที่นี่ไหม คือสิทธิบัตรทองผมอยู่จังหวัดที่ผมอาศัยอยู่ ผมก็บอกว่าอยากรักษาที่นี่ไม่ให้ใครรู้ แต่ก็ลำบากในการเดินทาง ดร. เขาก็เลยบอกว่าค่อยคิดก็ได้ เขาแนะนำเรื่องการดูแลรักษา เรื่องสิทธิการรักษา เรื่องยาว่ากินตัวไหน พอคุยเสร็จ ดร.เขาก็เอาใบผลเลือดมาให้ผมดูแล้วเก็บไว้ เพื่อว่าจะรักษาที่บ้านจะได้ให้ทางโรงพยาบาลดู ผมเปิดดู มีชื่อผม และมีคำว่า Positive สีแดง ผมก็ขอบคุณเขาแล้วก็ขอบคุณพี่พยาบาลแล้วกลับจากโรงพยาบาล


ผมมารักษาที่โรงพยาบาลจังหวัดตัวเอง ผมก็เอาผลเลือดให้เขาดูแล้วก็เจาะเลือดตรวจอีก พยาบาลเขาเจาะไป 4 หลอด แล้วเขานัดอีกทีอาทิตย์หน้า พี่พยาบาลถามว่าอยากพบจิตแพทย์ไหม ผมเลยปฏิเสธบอกว่าไม่เป็นไรแล้วยิ้มให้เขา พอมาตามนัดอาทิตย์ต่อมาเขาก็พาเข้าระบบการรักษาของทางโรงพยาบาล คุณหมอแนะนำการรับประทานยาแล้วบอกว่า  CD4 300 กว่าๆ คุณหมอบอกว่าปกติดี ห้ามต่ำกว่า 200 ตอนได้ยินผมดีใจระดับหนึ่ง แล้วค่าไวรัสตับอักเสบไม่มี ผมก็พอโอเคขึ้น ผมก็รับยาแล้วก็สมุดบันทึกการรักษา

ผมก็ได้กำลังใจจากเพื่อนสนิทคนนั้น เขาก็ไม่ได้รังเกียจอะไร เขาเข้าใจกว่าผมอีกเวลาผมเศร้า ตอนนั้นมีความรู้สึกอยากบอกพ่อแม่ แต่เพื่อนบอกว่าอย่าเพิ่งดีกว่า เพราะตอนนั้นกำลังจะไปเข้าเรียนที่มหาลัยเลยไม่อยากให้พ่อแม่แกเป็นห่วง เป็นกังวล และกลัวพ่อแม่จะรับได้ไหม แต่เป็นความคิดชั่ววูบ จริงๆ เพื่อนผมก็บอกว่าให้อะไรๆ พร้อมก่อนค่อยบอกทีหลังก็ได้

แต่ที่ขาดไม่ได้เลยก็ Adam’s Love We Care นี้แหละครับ ที่คอยบอกว่าเวลามีปัญหาเขาก็คอยเตือนคอยแนะนำและช่วยหาโรงพยาบาล ตอนมารักษาที่โรงพยาบาลแถวมหาลัย ผมกินยามาได้ 7 เดือนแล้วก็ปกติดีกินเหล้าบ้างเป็นบ่างครั้งดูแลออกกำลังกายนิดหน่อย จนหมอที่โรงพยาบาล เขานัดผมไปตรวจสุขภาพ พี่พยาบาลก็แสดงความยินดีกับผมด้วยว่า Virus load ในเลือดผมเหลือ 0 ผมก็ดีใจมากตื่นเต้นดีใจ พี่พยาบาลเขาก็บอกว่ามันจะมีไวรัสแอบในต่อมน้ำเหลืองหรือกระดูกไขสันหลัง ผมก็เข้าใจ แค่นี้ผมก็ดีใจแล้ว คุณหมอก็บอกว่าตับผมปกติดี ให้กินน้ำเยอะๆ ผมก็ดีใจ พี่เภสัชก็ชมว่าวินัยการกินยาให้ผม 100% แล้วเขาก็ให้ยาผมอีก 1 กระปุกเผื่อไว้ด้วย

ชีวิตในการเรียนผมก็ปกติดี ไปกับเพื่อนบ้าง ทำกิจกรรมบ้าง มันก็ไม่แย่เสมอไป เวลาผมจะพกยาไปข้างนอกผมจะเอาใส่ในกระเป๋ากางเกง ผมจะพกไป 1 เม็ด กินเฉพาะวันนั้นเท่านั้นจะไม่พกไปเกินครับ แล้วถ้าถึงเวลากินยาผมจะแอบไปเข้าห้องน้ำแล้วกินยาค่อยกลับมาหาเพื่อนครับหรือหาที่กินยาที่ไม่ให้ใครเห็น ลำบากหน่อยแต่ก็ไม่อยากให้เพื่อนๆ ที่มหาลัยรู้ แต่ทุกคนก็ไม่อยากจะเป็นกันผมก็เข้าใจ แต่เราก็ทำให้ตัวเองดีที่สุดแล้วจะไม่มาเสียใจทีหลังเลย แต่ทำให้ผมคิดเช่นนี้เสมอ พยายามทำให้ตัวเองไม่คิดมาก ผมคุยกับพี่ๆ ที่มารักษาก็บอกว่ากินยามา 10 ปี ปกติแฮปปี้ดี คุยหยอกกับพี่พยาบาล พี่พยาบาลก็ชวนคุยสนุกดีครับ เหมือนเป็นสถานที่อีกที่หนึ่งที่มีคนคอยช่วยคอยแนะนำปรึกษาปัญหาชีวิตเลยแหละครับ ผมก็ได้กำลังใจจากเพื่อน พี่ๆ Adam’s Love We Care และพี่พยาบาลทำให้ผมมาถึงจุดนี้ได้ แต่ก็เพราะตัวผมด้วยแหละครับ ผมก็ต้องสู้ต่อไปเช่นกันครับ

โดย Mr. Combat



อดัมส์เลิฟ ขอสงวนสิทธิ์ในการนำข้อมูลไปใช้เผยแพร่ต่อในทุกกรณี โดยไม่ได้รับการอนุญาต และเนื้อหานี้เป็นเพียงประสบการณ์บอกเล่าเฉพาะบุคคล และไม่สามารถถือเป็นคำแนะนำทางการแพทย์ได้ โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นกำลังใจสำหรับผู้อ่าน หรือผู้ตรวจพบเชื้อเอชไอวีในการดูแลตนเองในการรักษาเอชไอวีอย่างถูกต้องตามก ระบวนการการเแพทย์และมีวินัยเท่านั้น

ข้อ แนะนำ: ข้อมูลที่ระบุไว้บนเว็บไซต์นี้ ไม่สามารถครอบคลุมคำปรึกษาทั้งหมด หรือคำตอบทั้งหมดได้ ดังนั้น หากท่านสงสัย หรือมีคำถาม เกี่ยวกับเอชไอวี/เอดส์ สามารถติดต่อที่สถานพยาบาลได้โดยตรง