|
เรื่องราวการกดเชื้อไวรัสเอชไอวีของผม: "สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ"เรื่องราวการกดเชื้อไวรัสเอชไอวีของผม หรือ My Undetectable Story (#MyUStory) คือ โครงการเพื่อนช่วยเพื่อน ด้วยการใช้เทคโนโลยี เพื่อชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายที่มีเชื้อเอชไอวี จัดทำโดย อดัมส์เลิฟ มูลนิธิอดัมส์เลิฟโกลบอล เพื่อประชากรกลุ่มเสี่ยงและได้รับผลกระทบจากเชื้อเอชไอวี (อัลโก้) โครงการนี้ นำเสนอเรื่องราวจริงของอาสาสมัครที่มีเชื้อเอชไอวีในโครงการอดัมส์เลิฟ วีแคร์ ถ่ายทอดเรื่องราว และความสำเร็จในการกดเชื้อเอชไอวี เพื่อส่งต่อความรู้ กำลังใจ ให้เพื่อนๆ ที่เพิ่งตรวจพบเชื้อเอชไอวี มีความเข้าใจ สามารถมีชีวิตที่แข็งแรง และมีจิตใจที่เข้มแข็งในการดำเนินชีวิต ตลอดจนสามารถกดไวรัสเอชไอวีได้สำเร็จ สอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการอดัมส์เลิฟ วีแคร์ได้ที่ ไลน์ไอดีอดัมส์เลิฟ @xto5254h อดัมส์เลิฟ ขอสงวนสิทธิ์ในการนำข้อมูลไปใช้เผยแพร่ต่อในทุกกรณี โดยไม่ได้รับการอนุญาต และเนื้อหานี้เป็นเพียงประสบการณ์บอกเล่าเฉพาะบุคคล และไม่สามารถถือเป็นคำแนะนำทางการแพทย์ได้ โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นกำลังใจสำหรับผู้อ่าน หรือผู้ตรวจพบเชื้อเอชไอวีในการดูแลตนเองในการรักษาเอชไอวีอย่างถูกต้องตามก ระบวนการทางการเแพทย์และมีวินัยเท่านั้น ข้อแนะนำ: ข้อมูลที่ระบุไว้บนเว็บไซต์นี้ ไม่สามารถครอบคลุมคำปรึกษาทั้งหมด หรือคำตอบทั้งหมดได้ ดังนั้น หากท่านสงสัย หรือมีคำถาม เกี่ยวกับเอชไอวี/เอดส์ สามารถติดต่อที่สถานพยาบาลได้โดยตรง "สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ" เรียนจบมาก็ตั้งนาน แถมตอนเรียนก็ไม่ยักกะเรียนดี ผ่านมาเกือบ 10 ปี ดันเรียนดีได้เป็นนักเรียนเลือด + ซะยังงั้น ผมก็เป็นเหมือนเพื่อนๆ หลายๆ คนที่อยู่ดีๆ ก็ได้บรรณาการจากฟ้ามาเล่นตลกกับชะตาชีวิตให้พลิกจากหน้ามือเป็นหลัง... แล้วตอนตรวจก็ไม่ได้เต็มใจจะไปตรวจเองซะด้วย ตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดมาไม่เคยคิดจะตรวจเลยเพราะ “กลัว” แต่ทำไงได้ที่ทำงานใหม่ที่เพิ่งไปสัมภาษณ์มาหมาดๆ แถมได้แล้ว ดันให้ตรวจก่อนเข้าทำงาน ผลก็ออกมาอย่างที่เห็น...ใช่ครับ “ผมติดเชื้อ HIV” ย้อนไปเมื่อ 2 ปีก่อน (ตอนที่ผมยังไม่รู้ว่าเพื่อนมาอยู่ในร่างกาย) ต้องยอมรับว่าสุขภาพแย่มาก เป็นหวัดบ่อยมาก ต่อมทอนซิลอักเสบบ่อยมากเรียกว่าทุกเดือน ตรวจประจำปีคุณหมอก็ตั้งข้อสงสับถึงเม็ดเลือดที่ผิดปกติเนื่องจากมีการทำงานของกลุ่มเม็ดเลือดขาวมากเกินไปจนหมอบอกว่าเหมือนกำลังป่วยอะไรสักอย่าง ลามมาจนงูสวัดเข้ามาทักทายในชีวิต ซึ่งทั้งหมดผมยังคงปล่อยให้สมองคิดเองว่า “เราแค่พักผ่อนไม่เพียงพอ ทำงานหนัก เครียด และต่างๆ นานาเหตุผลที่จะมาอ้างได้” จนเวลาผ่านไปผมต้องตรวจ HIV ทุกอย่างมันจึงกระจ่างว่า ทั้งหมดนั้นคือสัญญาณเตือนที่บอกว่าร่างกายผมกำลังแย่แล้ว “ผมไม่ตื่นเต้นหรือตกใจอะไรทั้งนั้นที่รับรู้ผล” ผมค่อนข้างทำใจมาแล้วส่วนหนึ่งตั้งแต่หมอโทรมาแจ้งให้ไปเจาะเลือดเพิ่ม แถมพยาบาลก็มีท่าทางแปลกๆ ในวันที่นัดบอกผล นั่นทำให้ผมรู้ชะตากรรมอยู่แล้วเลยไม่ตกใจ ร้องไห้ฟูมฟาย ผมแค่ตั้งสติแล้วขอผลคืนไม่ให้คลินิกส่งผลไปที่ทำงานใหม่ และยกหูปฏิเสธการเข้าทำงานทันที ใครสักคนที่เข้าใจ ผมถือเป็นคนนึงที่ในความโชคร้ายยังมีความโชคดี ผมตัดสินใจโทรหาเพื่อนสนิท 2 คน เพื่อบอกเรื่องนี้ เพื่อนผมเข้าใจ และเป็นห่วง (ฟูมฟายและคิดมากมากกว่าตัวผมอีก) และรีบมาหาผมเพื่อปลอบใจโดยไม่มีท่าทีรังเกียจ ผมตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการรักษาโดยเร็วที่สุดหลังจากทราบผลไม่กี่วัน โดยมีเพื่อนรักพาไปหาหมอเพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาอีกด้วย แต่ปัญหาต่อมาที่ผมกังวลกลับไม่ใช่ตัวเอง แต่เป็นแฟน ที่เราอยู่ด้วยกันมานานแล้วต่างหาก เมื่อถึงเวลาที่ต้องบอก ผมเก็บปัญหาไว้เกือบสัปดาห์ เราอยู่ด้วยกันแต่ผมแทบจะไม่คุยกับเขาเลยจนมาจุดหนึ่ง จุดที่ผมรู้สึกว่าเราไม่ควรนึกถึงแต่ตัวเองเลยนั่งจับเข่าคุยกันและบอกไปถึงภาวะที่ผมกำลังเผชิญอยู่ และก็ยังเป็นโชคดีของผมที่เขาเข้าใจและไม่รังเกียจแถมเป็นห่วงผมมากกว่าเดิม แน่นอนว่าผมขอให้เขาไปตรวจเลือดในวันนั้น เขารีบไปทันทีโดยมีผมไปด้วย ซึ่งผมก็ได้แต่ภาวนาระหว่างรอผลว่าขอให้เรื่องร้ายมันตกที่ผมคนเดียวพอ...และยังดีที่คำขอของผมฟ้ายังคงได้ยินอยู่บ้าง แฟนผมปกติ หลังจากนั้นไม่นานผมจึงตัดสินใจอีกขั้นในการบอกครอบครัวคือพี่สาวของผม ซึ่งก็ยังเป็นโชคดีของผมอีกที่พี่สาวเข้าใจและไม่รังเกียจ แถมยังเป็นห่วงมาก แต่เราก็มีข้อตกลงว่าห้ามบอกเรื่องนี้ให้กับพ่อแม่รู้เด็ดขาด เพราะถ้าความลับนี้จะตายไปขอให้จบลงแค่นี้ เพื่อให้ท่านสบายใจมากที่สุด ....เราไม่จำเป็นต้องบอกเพื่อนทุกคน เป็นสิทธิ์ของเราที่จะเลือกบอกแต่เราต้องมั่นใจว่า คนคนนั้นจะเข้าใจอย่างแท้จริงและที่สำคัญคือเก็บความลับได้... ก้าวขาสู่การรักษา ทุกวันนี้การรักษามันง่ายมาก แค่เรามีประกันสังคมเราก็สามารถเข้าถึงการรักษาและรับยาได้ แถมยังได้รับสิทธิตรวจ CD4 ได้ฟรี ปีละ 2 ครั้ง และ VR ปีละ 1 ครั้ง อีกด้วย ผมเข้ารับยาทานมาจนถึงวันนี้ก็เกือบ 2 ปีแล้ว แต่ระหว่างรอเข้ากระบวนการรักษามันจะมีช่องว่างอยู่ประมาณ 2 สัปดาห์ เพราะต้องนัดพบแพทย์ รอผลตรวจ CD4 ผมจึงเปิดหาข้อมูลในอินเทอเน็ต จนมารู้จักกับ ADAM’S LOVE WE CARE ผมจึงลงทะเบียนและได้รับการติดต่อกลับมา ในช่วง 2 สัปดาห์นี้เองที่นอกจากเพื่อนสนิทแล้วก็จะมีพี่ๆ ในกลุ่มนี้แหละที่คอยดูและ มีการให้ดู VDO ตอบคำถาม ทำ Test ต่างๆ (ยิ่งกว่านัดสอบ) แต่ทั้งหมดก็เป็นความรู้ที่ตัวเองจะได้รับและนำไปปฏิบัติตัว แถมเวลามีข้อสงสัยก็สอบถามได้ ถ้าพี่ๆ ตอบไม่ได้ก็จะไปหาคำตอบมาให้จากแพทย์ หรือ ผู้เชี่ยวชาญ เมื่อวันนัดหมายมาถึงก็รับฟังผล CD4 ซึ่งผมอยู่ที่ 200 ต้นๆ และหมอก็สั่งจัดยาให้เริ่มทานทันที และจากการเรียนรู้จาก VDO มันทำให้ผมรู้แล้วละว่าผลข้างเคียงคือนอนฝันร้าย มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ คืนแรกที่ทานยาผมฝันผาดโผนและยังจำความฝันได้ดี นึกทีไรก็ตลก และบางครั้งก็มีผื่นขึ้นบ้างแต่ไม่มาก ซึ่งร่างกายผมถือว่าเข้ากับยาได้อย่างรวดเร็ว ไม่ได้มีผลข้างเคียงร้ายแรง จนถึงทุกวันนี้ผมทานยามาแล้วเกือบ 2 ปี CD4 เมื่อล่าครั้งล่าสุดคือ 400 กว่า ส่วน VR นั้น Undetected ตั้งแต่ 1 ปี แรกที่ทาน และหลังจากรับยาไปพวกป่วยกระเสาะกระเสะก็แทบจะไม่มีอีกเลย ทำทุกวันให้เป็นปกติแค่เลือก (ที่จะ) ปฏิบัติ สิ่งสำคัญของการทานยาให้ตรงเวลา ผมตั้งเวลาปลุกให้กินยาทุกวัน ช่วงกินยาใหม่ๆ ผมจะเว้นมื้ออาหารกับยาอย่างน้อย 2 ชม. เพราะถ้ากินติดกันจะทำให้รู้สึกมึนๆ ปัจจุบันร่างกายผมปรับเข้ากับยาได้แล้วทำให้บางทีที่จำเป็นต้องกินยาทันทีหลังอาหารผมก็แค่มึนนิด ๆ ไม่มากเท่าช่วงแรกๆ อาหารที่ผมไม่ทานเลยคือปลาร้าดิบ และ หอยนางรม เพราะหลายงานวิจัยบอกว่าไม่ดีต่อคนมีภูมิต้านทานต่ำจะทำให้ติดเชื้อได้ ส่วนอาหารดิบอย่างซูชิต่างๆ ก็ทานแค่พอแก้หายอยาก แต่ต้องมั่นใจว่าสดจริง ส่วนแอลกอฮอล์นั้นผมก็ยังคงดื่มอยู่แต่เฉพาะเวลาที่ต้องดื่มจริงๆ จากเมื่อก่อนที่กินทุกโอกาสพอรับยาแทบจะนับครั้งที่ยกแก้วดื่มได้ และหากเวลาเจ็บป่วยก็จะไปหาหมอที่โรงพยาบาลที่เรารับการักษาอยู่เพราะเขาจะมีประวัติเราอยู่ เวลาจ่ายยาคุณหมอก็จะหลีกเลี่ยงตัวยาที่ทำปฏิกิริยากับยาที่เรากิน นอกนั้นผมก็ทำตัวปกติ ไม่มีอะไรมากเป็นพิเศษ จะมีก็แค่หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น ออกกำลังกายบ้าง เดินทางท่องเที่ยวปกติทั้งในและต่างประเทศ แค่อย่าลืมพกยาไปให้เกินจำนวนวันและผมจะแยกเป็น 2 ชุด คือชุดติดตัวกับชุดที่โหลดในกระเป๋ารวมกับยาสามัญอื่นๆ สำรองไว้ เหนือสิ่งอื่นใด คือการเลือกมองในแง่ดี อย่านั่งกังวลยึดติดภาพผู้ป่วยที่เขาเข้าไม่ถึงการรักษา จะบั่นทอนจิตใจ และไม่ต้องเสียเวลาว่าทำไมถึงเป็น ติดจากใครมา คำถามเหล่านี้ไม่ต้องเสียเวลาหาคำตอบ (รวมถึงคนรอบข้างก็อย่าไปคาดคั้นถามเลยครับ) เพราะเอาเข้าจริงก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร ไม่รู้ด้วยว่ามันมาตั้งแต่เมื่อไร ทุกสิ่งมันเกิดขึ้นแล้วแก้ไขไม่ได้ มองข้างหน้า มองอนาคตดีกว่าว่าเราจะวางแผนการใช้ชีวิตอย่างไรให้ทุกวันเรายังสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน อย่างน้อยรู้ก่อน ก็รักษาก่อน เป็นผลดีกับตัวเอง ดูแลตัวเอง สุขภาพจะได้แข็งแรงนะครับ สุดท้ายใช้ชีวิตอย่างมีความหวัง ความหวังที่ว่าสักวันจะถึงวันที่โลกใบนี้ค้นพบวิธีการรักษา สักวันที่จะมีคนค้นพบตัวยาที่ทำให้เราไม่ต้องทานยาทุกวัน สักวันที่จะแข็งแรงและบอกคนอื่นได้สักทีว่าหายแล้วได้อย่างเต็มปาก ................สำหรับผมแล้ว "สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ" อย่างน้อยผมก็รู้ว่าในชีวิตผมยังมีเพื่อนแท้ และมีคนในครอบครัวที่เข้าใจ แค่นี้ก็ดีมากแล้ว............. เรื่องโดย BitterHoney
อดัมส์เลิฟ ขอสงวนสิทธิ์ในการนำข้อมูลไปใช้เผยแพร่ต่อในทุกกรณี โดยไม่ได้รับการอนุญาต และเนื้อหานี้เป็นเพียงประสบการณ์บอกเล่าเฉพาะบุคคล และไม่สามารถถือเป็นคำแนะนำทางการแพทย์ได้ โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นกำลังใจสำหรับผู้อ่าน หรือผู้ตรวจพบเชื้อเอชไอวีในการดูแลตนเองในการรักษาเอชไอวีอย่างถูกต้องตามกระบวนการทางการเแพทย์และมีวินัยเท่านั้น
ข้อ แนะนำ: ข้อมูลที่ระบุไว้บนเว็บไซต์นี้ ไม่สามารถครอบคลุมคำปรึกษาทั้งหมด หรือคำตอบทั้งหมดได้ ดังนั้น หากท่านสงสัย หรือมีคำถาม เกี่ยวกับเอชไอวี/เอดส์ สามารถติดต่อที่สถานพยาบาลได้โดยตรง |