Crossroad ตอนที่ 15 "ยังสบายดีอยู่ครับ"

ตอน ยังสบายดีอยู่ครับ

BY : Miracle

เว้นวรรคการเขียนบทความให้กับ Adam’s Love ไปนานกว่าปีครึ่ง ไม่ใช่ว่ามีเรื่องร้าย อุบัติเหตุ หรือปัญหาชีวิตคู่จนทำให้ต้องเลิกเขียนบทความ Crossroad ไปหรอกนะครับ แต่เป็นเพราะชีวิตการทำงานของผมและคนรักนั้นวุ่นวายจนไม่มีเวลามาแบ่งปันเรื่องราวชีวิตคู่ที่มีเจ้าเชื้อ HIV อยู่ร่วมด้วยเลยต่างหาก และหลังจากถูกทวงถามต้นฉบับอยู่นานหลายเดือน ในที่สุด ผมก็พร้อมจะมาเล่าเรื่องราวของเราสองคนต่อแล้วล่ะครับ

ในที่สุดแฟนของผมตัดสินใจเริ่มยาต้านไวรัสเสียที หลังจากที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV (แบบรู้ตัวว่ามีเชื้อ) ประมาณ 2 ปี และนับจนถึงวันนี้ เค้าก็กินยาอย่างต่อเนื่องมาแล้วเป็นเวลา 4 ปี ทุกอย่างยังปกติดีอยู่ เค้ายังคงกินยาสูตรเดิมอยู่ โดยได้รับการดูแลจากคุณหมอ ตรวจสุขภาพอย่างละเอียดตามกำหนด และไม่มีอาการดื้อยาแต่อย่างใด

จากที่เราเคยห่วงกันว่า การกินยาต้านไวรัสจะมีความยุ่งยากต่างๆ นานาก็กลายเป็นว่า มันไม่ได้หนักหนาสาหัสอย่างที่คิด ทั้งเรื่องกำหนดเวลาที่ควรต้องกินตรงเวลาทุกมื้อทุกวัน ที่กลายเป็นว่า แฟนของผมเค้าค่อนข้างมีระเบียบแบบแผนดีทีเดียว จากตอนแรกที่ผมเอ่ยปากว่า จะช่วยเตือนให้เค้ากินยาให้ตรงเวลาทุกวัน กลับกลายเป็นว่า ผมเองซะอีกที่ลืม และเค้าก็ไม่เคยลืมเลย จากที่ต้องตั้งนาฬิกาปลุกเตือนทุกเวลา (เช้า หนึ่งมื้อ ค่ำหนึ่งมื้อ และก่อนนอนหนึ่งมื้อ) ตอนนี้เค้าก็กำหนดรู้เวลาได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องตั้งปลุกเตือนใดๆ แล้ว เรื่องอาการข้างเคียงจากยา ที่เคยกลัวกันว่า จะมีอาการเยอะ ก็มีเพียงแค่อาการมึนยา (เราเรียกกันว่า “เมา”) จากตัว “เอฟฟาไวเรนซ์” เท่านั้น ที่ทำให้มีปัญหาในการใช้ชีวิตในช่วงแรกๆ เหมือนกัน ยังดีที่ว่า ตามโปรแกรมการรับประทานยา คนส่วนใหญ่จะรู้ดีว่า ยาตัวนี้ควรจะทานก่อนนอน เพราะมีเอฟเฟกต์ดังกล่าว แต่ก็นั่นแหละ หลายครั้งเหมือนกันที่แฟนของผมมีภารกิจต้องออกงานกลางคืน หรือทำงานภาคดึก ก็มีเมาๆ มึนๆ ยาจนแทบไม่ไหวเหมือนกัน อย่างไรก็ดี อาการที่ว่าก็มีอยู่เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น จากนั้นร่างกายก็ค่อยๆ ปรับตัวให้คุ้นเคยกับยาเอง นอกจากนี้คุณแฟนยังสังเกตอีกว่า ประเภทของอาหารเย็นก็มีผลต่ออาการข้างเคียง หากรับประทานอาหารมื้อเย็นเป็นของมันของทอด เป็นต้องเมามึนทุกที

สุดท้าย เรื่องการรับยา เก็บยา ก็เป็นความยุ่งยากอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรง ในเมื่อเราป่วยก็ต้องรับยา และดูแลรักษาร่างกายตนเอง การรับยาก็เป็นหน้าที่ของผู้ป่วย ที่ไม่ควรจะต้องบ่น ยอมเสียเวลาไปบ้างเพื่อสุขภาพที่ดีก็คุ้มกันมิใช่หรือ ส่วนเรื่องการเก็บยา แฟนของผมก็เลือกที่จะเอากระปุกยานับสิบมาเก็บที่ห้องในคอนโดฯ ของผม แทนที่จะเอาไปเก็บที่บ้านให้คุณพ่อคุณแม่สงสัยหรือตกใจ คิดไม่ออกเหมือนกันว่า สำหรับผู้ติดเชื้อ HIV คนอื่นๆ ที่พักอาศัยอยู่ร่วมกับครอบครัว โดยที่ครอบครัวไม่รู้ผลเลือดของตัวเอง จะมีวิธีเก็บยาจำนวนมากขนาดนี้อย่างไร

ช่วงเวลา 4 ปีกับการค่อยๆ เรียนรู้ปรับตัวให้รับกับการกินยาต้านไวรัส ยังมีเรื่องสนุกๆ ระหว่างทางอีกเยอะ เอาไว้ผมจะแวะมาเล่าให้ฟังอีกก็แล้วกันนะครับ

(โปรดติดตามตอนต่อไป)