|
ทิปส์ 10 ข้อ สำหรับผู้ที่เพิ่งตรวจพบเชื้อเอชไอวี จากเรื่องราวการกดเชื้อไวรัสของอาสาสมัครอดัมส์เลิฟวีแคร์สวัสดีพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ชาวเอชทุกท่านครับ ผมเป็นชายรักชายเหมือนใครหลายคน เคยมีแฟนหลายคน มีเพศสัมพันธ์หลายครั้ง มีทั้งป้องกันและไม่ป้องกัน ผมเองก็ไม่ทราบว่าไปพลาดตอนไหนถึงได้รับ “เพื่อนเอช” นี้เข้ามาในร่างกายแบบไม่ได้ตั้งใจ และเชื่อว่าทุกคนไม่มีใครต้องการเพื่อนคนนี้อย่างแน่นอน แต่ในเมื่อเราหลีกหนีจากมันไปไม่ได้และต้องใช้ชีวิตอยู่กับมันไปตลอด สิ่งสำคัญคือ อย่าไปกลัว และยอมรับมันให้ได้ครับ เรื่องเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2560 มีโทรศัพท์เบอร์แปลกโทรเข้ามา แจ้งว่าโทรมาจากห้องบริจาคเลือดของโรงพยาบาลประจำจังหวัดที่ผมอาศัยอยู่ ซึ่งผมเคยมีโอกาสไปบริจาคที่นี่มาประมาณ 4- 5 ครั้ง และบอกว่าเลือดของผมไม่ปกติ ขอให้หยุดการบริจาคไปก่อน ผมถามเขากลับไปด้วยความตกใจไปพักหนึ่ง เขาบอกว่าให้ผมมาที่ห้องบริจาคเลือดในวันมะรืนพร้อมติดต่อเจ้าหน้าที่ ตอนนั้นผมคิดว่าคงโดนเข้าให้แล้วแน่นอน วันรุ่งขึ้นจึงไม่รีรอ รีบตรงไปตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวีทันที เมื่อได้เข้าสู่กระบวนการตรวจของทางคลินิก ผลที่ออกมาคือ เลือดบวก ตามที่คาดคิด จึงให้พบแพทย์ในวันต่อมาทันที เจาะเลือดใหญ่ ตรวจปอดและอื่นๆ ผลออกมาคือยังปกติ แต่ก็ได้รับยาต้านมาทันทีในวันเดียวกัน จนกระทั่งวันแรกที่ผมได้ทานยา จากตอนแรกที่บอกแพทย์ว่าจะทานตอน 3 ทุ่ม แต่โดยนิสัยส่วนตัวเป็นคนนอนดึก ถึงเข้านอนเร็วก็ยังไม่สามารถหลับได้ เลยเปลี่ยนมาเป็นทานตอน 4 ทุ่มแทนแล้วนอนเลย คืนนั้นผมตื่นมาเข้าห้องน้ำประมาณตี 2 ด้วยอาการเวียนหัวแบบสุดขีด บ้านหมุนแรง รู้ทันทีว่าฤทธิ์ยากำลังทำงานอยู่ ถึงขนาดต้องเกาะราวบันได้ลงไปชั้นล่าง ตอนนั้นคิดในใจว่าเราจะแพ้มั้ย? จะฝันร้ายเหมือนที่ได้ข้อมูลมาต่างๆ นานามั้ย? จะทำยังไงต่อไป? จนในที่สุด ผ่านไปเดือนกว่าผมก็กลับมาเป็นปกติ และก็เป็นแบบนั้นจริงๆ จนทุกวันนี้ไม่ว่าผมจะเดินทางไปไหนมาไหน เมื่อถึงเวลาที่ต้องทานยา ผมสามารถทานได้ทันทีโดยที่ไม่มีอาการเหล่านั้นเกิดขึ้นอีกเลย ระหว่างนี้ ผมก็ใช้ชีวิตเป็นปกตินะครับ แต่ที่เพิ่มมาคือการทานยาให้ตรงเวลาทุกวัน โดยผมทำการตั้งเวลาทั้งในโทรศัพท์ แท็ปเล็ต รวมไปถึงการแจ้งเตือนจากทาง Adam’s Love ด้วย ทำให้ตลอดเวลาที่ผ่านจนถึงวันนี้ ผมไม่เคยพลาดเวลาการทานยาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ผ่านไปเกือบครบ 11 เดือน ยาสามารถกดเชื้อผมได้จน Undetectable Viral Load
โดยส่วนตัวผมพอใจมากพอสมควรจากผลการตรวจครั้งใหญ่ครั้งแรกนี้ และเชื่อว่าปัจจัยที่ช่วยให้ผลการตรวจออกมาเป็นที่น่าพอใจนี้ คือ 1. การทำสภาพจิตใจยอมรับกับสิ่งที่มีที่เป็น ครั้งแรกอาจจะเป็นเรื่องยากหรือวิตกกังวลต่างๆ นานา แต่การยอมรับความจริงนี่แหละครับถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ยิ่งเรายอมรับได้เร็วเท่าไหร่ เราจะกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติได้ไวมากขึ้นเท่านั้น สิ่งหนึ่งที่ผมคิดอยู่เสมอคือ “เราแค่มีเอชในร่างกาย แต่เราไม่ได้เป็นโรคร้ายแรง” (แถมยังดูแข็งแรงกว่าคนปกติทั่วไปด้วย) หากเราผ่านความรู้สึกตรงนี้ไปได้ ทุกอย่างก็ไม่มีอะไรให้ต้องกลัวแล้วครับ 2. ความมีวินัยของการทานยา ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก จากที่ได้บอกไปแล้วผมได้รับแจ้งเตือนจากทาง Adam’s Love ด้วย บวกกับการตั้งเวลาของตัวเอง ทำให้การทานยาของผมตรงเวลาทุกวันสม่ำเสมอไม่มีขาดไม่ว่าจะเดินทางไปไหนก็ตาม โดยหากเป็นในประเทศก็ทานตามเวลาปกติ แต่ถ้าไปต่างประเทศ ก็จะตั้งเวลาที่ไทยคู่กับประเทศนั้นๆ ด้วย เพื่อไม่ให้พลาดเมื่อถึงเวลาที่ต้องทาน และผลก็คือผมไม่มีการแพ้ หรือการดื้อยาใดๆ เลย แถมยังรู้สึกร่างกายแข็งแรงมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย 3. การละ เลิก พฤติกรรมเสี่ยงทุกอย่างที่จะเป็นการนำพาเชื้อเข้ามาในร่างกายเพิ่มเติม ซึ่งก็คือการมีเพศสัมพันธ์นั่นเอง ตั้งแต่ผมรู้ตัวว่าเรามีเพื่อนคนนี้มาอยู่ในร่างกาย ผมเลิกคุย แชทหาคู่ จนถึงการมีเพศสัมพันธ์แบบเด็ดขาด เน้นที่การรักษาสุขภาพกายและใจมาเป็นอย่างแรก 4. การทานอาหารให้เป็นยา ดีกว่าทานยาจนเป็นอาหาร ในตอนแรกผมก็คิดว่าเราต้องเลือกรับประทานอาหารหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานแน่นอน แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไปนะครับ ผมยังสามารถทานอาหารที่ชอบได้เป็นปกติเหมือนคนทั่วไป แต่อาจมีบ้างที่ต้องลดของทอด ของมัน ขนมหวานซึ่งเป็นของโปรดของผม แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเลิกทานไปเลยทันที ผมเองก็มีทานบ้าง จนร่างกายปรับตัวกับยาได้แล้วก็กลับมาทานปกติ แต่โดยส่วนตัวผมเลือกที่จะทานของประเภทนี้น้อยลงเองด้วย เพื่อเป็นการลด LDL (ไขมันไม่ดี) และเปลี่ยนมาทานน้ำเต้าหู้ นมถั่วเหลือง ธัญญาพืช เมล็ดถั่วต่างๆ แทน เพื่อเพิ่ม HDL (ไขมันดี) เข้ามาในร่างกายแทน 5. สอดคล้องกับข้อ 4 คือผมไม่ได้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์มานานเป็นสิบปีแล้ว ปัญหาสำหรับตัวผมตรงนี้จึงไม่มีอะไรต้องกังวล แต่ที่ผมเพิ่มข้อนี้เข้ามาด้วย เนื่องจาก 3 เดือนก่อนหน้านี้ผมได้เจอเพื่อนที่รู้จักกันมาเป็นสิบปี และเพิ่งได้ทราบว่าเขาเองก็มีเชื้อและทานยามาแล้ว 9 ปี แต่ค่า CD4 ของเขายังไม่เคยถึง 400 เลย ส่วนหนึ่งมาจากเขาเป็นคนดื่มแอลกอฮอลล์บ่อยมาก ทำให้ผมรู้ว่าเครื่องดื่มประเภทนี้มีผลกับภูมิคุ้มกันร่างกายมากจริงๆ 6. การทานยาต้านได้ตรงเวลาสม่ำเสมอไม่มีขาด ทำให้ผมไม่จำเป็นต้องพึ่งอาหารเสริมที่โฆษณาขายกันอยู่ทั่วไปตามสื่อออนไลน์ว่าเพิ่มระดับ CD4 ต่างๆนานา ผมเลือกที่จะทานยาต้านอย่างเดียว ทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำมากๆ และออกกำลังกายสม่ำเสมอแทน เพราะผมคิดแล้วว่า การที่เราทานยาทุกวันนี้ ตับ ไต ของเราก็ทำงานมากพอแล้ว อย่าเพิ่มภาระขับของเสียโดยไม่จำเป็นให้เขาอีกเลย 7. การไปพบแพทย์ตรงตามวันเวลานัดทุกครั้ง เพื่อเป็นการตรวจเช็คความคืบหน้าการรักษาและอาการล่าสุด อย่าเบื่อหน่ายที่จะไปครับ ให้คิดว่าเราไปตรวจสุขภาพเท่านั้นเอง 8. การออกกำลังกาย มีส่วนกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันร่างกายดีขึ้นมาก ช่วงแรกที่ผมมีอาการมึนๆ จากการทานยา การออกกำลังกายถือว่าช่วยได้มากทีเดียว จนทุกวันนี้ผมทำเป็นนิสัยไปแล้ว โดยการออกกำลังกายนี้ไม่ต้องถึงกับหักโหมนะครับ แค่วันละ 15-30 นาที สัปดาห์ละ 4-5 วันก็เพียงพอ 9. การพักผ่อนทั้งกายและใจ ถึงแม้ว่าผมทานยาตอน 4 ทุ่มแล้วควรเข้านอนเลย แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไปนะครับ เพราะอย่างที่ผมบอกไปข้างต้นว่าส่วนตัวผมเป็นคนนอนดึกจนติดเป็นนิสัย จะให้ทานยาแล้วหลับเลยคงเป็นไปไม่ได้หรือเป็นเรื่องยากมาก เว้นเสียแต่ว่าเหนื่อยหรือเพลียมากจริงๆ ถึงจะหลับได้เร็ว โดยหลังจากทานยาเสร็จ ผมเลือกที่จะสวดมนต์ยาวๆ ก่อนนอน จนเมื่อรู้ตัวว่าเราง่วงพร้อมที่จะหลับจริงๆ จึงเข้านอนและหลับไปเอง 10. ช่วงระหว่างที่ทานยาต้าน ผมเคยทานยาอื่นๆ เนื่องจากเจ็บไข้แทรกซ้อนเล็กน้อยอยู่ 2 ครั้ง โดยยาสามัญจะทานเมื่อจำเป็นต้องทานจริงๆ นะครับ เมื่อหายแล้วให้หยุด เพราะอันที่จริงยาต้านก็ช่วยให้ภูมิคุ้มกันร่างกายเราทำงานได้ดีเป็นปกติอยู่แล้ว ทุกวันนี้ผมใช้ชีวิตเป็นปกติเหมือนเดิม แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเรารู้สึกว่าร่างกายเราแข็งแรงขึ้น ถึงแม้ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้มีอาการอะไรมากมาย แต่ความรู้สึกข้างในนี้ไม่มีใครรับรู้ได้นอกจากตัวเราเอง ความกลัวต่างๆ ที่เคยมีในช่วงแรกผมกล้าบอกได้เลยว่าตอนนี้เป็น 0 ครับ ไม่มีใครดูแลร่างกายเราได้ดีเท่าตัวเราเอง ไม่มีใครช่วยเหลือเราได้เท่ากับเราช่วยเหลือตัวเอง ขอเพียงแค่มีวินัยในการทานยา ปฏิบัติตนให้ดี และสิ่งสำคัญที่สุดคือจิตใจและความคิด ให้มองในมุมบวกไว้ สร้างกำลังใจให้ตัวเองเอาไว้มากๆ การมีเลือดบวกไม่ได้หมายความว่าเราต้องคิดในแง่ลบเสมอไป แต่กลับทำให้เราเห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ อย่ากลัว เลิกคิด เลิกจินตนาการ เลิกสร้างมายาคติต่างๆ ว่าเป็นเอชแล้วจะต้องตาย มันเก่าโบราณมากแล้วครับ ผมยังใช้ชีวิตในสังคมกับครอบครัว เพื่อนฝูงได้อย่างเป็นปกติ ถึงผมไม่ได้เล่าให้พวกเขาฟังว่าผมเป็นอะไร เจออะไรมา แต่ผมเองก็รู้ว่าพวกเขารู้ พวกเขาเองก็ไม่ได้ถาม แค่รู้ว่าผมทานยาทุกวัน มีนัดพบแพทย์ 3 เดือนต่อครั้ง เรียกได้ว่ากลับมาใช้ชีวิตแบบเดิมไปเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ขอแค่อย่ากลัว มีกำลังใจที่ดี ปฏิบัติตนให้ดี มีวินัย เพียงเท่านี้ โรคภัยใดๆก็ทำอะไรเราไม่ได้แล้ว สู้ๆ และเป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ ! เรื่องโดย ชิงช้าช่างฝัน เรื่องราวการกดเชื้อไวรัสเอชไอวีของผม หรือ My Undetectable Story (#MyUStory) คือ โครงการเพื่อนช่วยเพื่อน ด้วยการใช้เทคโนโลยี เพื่อชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายที่มีเชื้อเอชไอวี จัดทำโดย อดัมส์เลิฟ มูลนิธิอดัมส์เลิฟโกลบอล (อัลโก้) โครงการนี้ นำเสนอเรื่องราวจริงของอาสาสมัครที่มีเชื้อเอชไอวีในโครงการอดัมส์เลิฟ วีแคร์ ถ่ายทอดเรื่องราว และความสำเร็จในการกดเชื้อเอชไอวี เพื่อส่งต่อความรู้ กำลังใจ ให้เพื่อนๆ ที่เพิ่งตรวจพบเชื้อเอชไอวี มีความเข้าใจ สามารถมีชีวิตที่แข็งแรง และมีจิตใจที่เข้มแข็งในการดำเนินชีวิต ตลอดจนสามารถกดไวรัสเอชไอวีได้สำเร็จ สอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการอดัมส์เลิฟ วีแคร์ได้ที่ ไลน์ไอดีอดัมส์เลิฟ @xto5254h อดัมส์เลิฟ ขอสงวนสิทธิ์ในการนำข้อมูลไปใช้เผยแพร่ต่อในทุกกรณี โดยไม่ได้รับการอนุญาตจากอดัมส์เลิฟ และเนื้อหานี้เป็นเพียงประสบการณ์บอกเล่าเฉพาะบุคคล และไม่สามารถถือเป็นคำแนะนำทางการแพทย์ได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกำลังใจสำหรับผู้อ่าน หรือผู้ตรวจพบเชื้อเอชไอวีในการดูแลตนเองในการรักษาเอชไอวีอย่างถูกต้องตามก ระบวนการทางการเแพทย์และมีวินัยเท่านั้น ข้อแนะนำ: ข้อมูลที่ระบุไว้บนเว็บไซต์นี้ ไม่สามารถครอบคลุมคำปรึกษาทั้งหมด หรือคำตอบทั้งหมดได้ ดังนั้น หากท่านสงสัย หรือมีคำถาม เกี่ยวกับเอชไอวี/เอดส์ สามารถติดต่อที่สถานพยาบาลได้โดยตรง |